Explorer of Life

Friday, December 23, 2011

ขอบคุณและพรปีใหม่ - Seasons Greetings

ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่เข้ามาอวยพรทั้งวันเกิดและเทศกาลนะคะ
และขอโทษที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาตอบเลย

ขอส่งความสุขและความปรารถนาดีในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ตรงนี้เลยนะคะ
ขอให้เพื่อนๆ และครอบครั้วประสบแต่ความสุข ความสมหวังและเีพียบพูนด้วยโชคลาภและสุขภาพที่แข็งแรง แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงค่ะ ^^

Thank you for all your best wishes.  May you and yours be filled with love, health and happiness.Peace & Love to all.


Xmas Greeting Pictures, Images and Photos

Sunday, November 27, 2011

หัวอกใครก็หัวอกใคร - Picking up the pieces

The severity of any calamity is relative to how close it hits home.  Walt Disney said, "You may not realize it when it happens, but a kick in the teeth may be the best thing in the world for you." -- Well, I sure hope so.

Can somebody tell me which piece to pick up first, though? :(.


ความรุนแรงของมหันตภัยใดๆ นั้นขึ้นอยู่กับว่ามันเกิดขึ้นใกล้ตัวเราแค่ไหน ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
ลุงวอลท์ ดิสนีย์บอกไว้ว่า "การที่เราโดนใคนสักคนเตะปากเอานั้น บางครั้งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่เกิดขึ้นกับเรา แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ตัวในขณะนั้น"
ก็หวังว่าจะเป็นจริง -- แต่ขณะนี้ขอน้ำตาไหลก่อนก็แล้วกัน

ว่าแล้วววว เริ่มเก็บชิ้นไหนก่อนดีหว่า :(.

Photobucket

Saturday, November 26, 2011

เซ็นเซอร์มีฝุ่นและเส้นใยอะไรไม่รู้เยอะมาก

อยากขอคำแนะนำว่า ทำความสะอาดเองจะปลอดภัยมั้ยคะ

โทรไปถามที่ร้านแถวนี้ เค้าบอกจะคิด $60 แล้วต้องทิ้งกล้องไว้หลายวัน
แต่แนะนำว่าจะซื้ออุปกรณ์มาทำความสะอาดเองก็ได้ $25 เหรียญ

ถ้าเราทำความสะอาดเอง ใช้อุปกรณ์ยี่ห้ออะไรดี สนนราคาเท่าไหร่คะ

ขอบคุณค่ะ

Tuesday, November 8, 2011

เรื่อง 'ม้า ม้า'


Martin Clunes:  Horsepower on PBS -- I saw the series last night and practically fell in love with it.

เมื่อคืนได้ดูสารคดีเรื่องนี้แล้วทึ่งมากๆ ... พอจะรู้มานานแล้วเรื่องว่าม้าฉลาดมาก แต่ก็ไม่นึกว่าความสัมพันธ์ของม้ากับคนจะพิเศษขนาดนี้

พอดูถึงตอนที่คุณลุงคนนึงสอนผู้ดำเนินรายการเรื่องการผูกใจม้าแล้วก็เลยนึกถึงรูปนี้ที่ถ่ายไว้ตั้งแต่เดือนเมษาฯ 



Photobucket

เจ้าม้าขาวตัวนี้มันอยู่ที่ฟาร์มใกล้ๆ บ้าน  วันนึงขับรถผ่านไป เหลือบเห็นมันกำลังแลบลิ้นล้วงกินหญ้าอยู่ที่ริมรั้วข้างถนน ...แหม เราก็รีบจอดรถปรู้ด กระโดดปุ วิ่งไปจะถ่ายรูปมัน -- พอไปถึง อ้าวว มันแจ้นไปอยู่นู่นนน แถมยืนหันก้นให้เราทำไม่รู้ไม่ชี้นะ (แถมหันข้างที่มอมแมมมากๆ ให้เราอีกตะหาก ช่วงนั้นฝนยังตกอยู่) ... เราก็ ว้า ! อดถ่ายมันใกล้ๆ เลย ก็เลยเดินหันหลังกลับจะเดินไปที่รถ ... แต่ยังทันเห็นทางหางตาว่า เจ้าม้าแอบหันมามองนะ ...พอหันกลับไป มันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อ ... แต่ก็ยังจำมาถึงวันนี้ว่า แหม เจ้านี่มันตอแหลน่าดู หรือไม่งั้นเราก็ตาฝาด

จนกระทั่งได้มาดูสารคดีเรื่องนี้ โดยเฉพาะตอนที่คนจะเป็นเ่พื่อนกับม้าน่ะ คล้ายๆ กับ Horse Whisperer นะ แต่อันนี้เค้าเรียก Join Up  เค้าบอก ม้าเป็นสัตว์ขี้ตื่น แต่ก็ใจกล้าถ้าหากไว้ใจคนแล้ว เวลาที่คุยกับม้า ตอนแรกให้วิ่งไล่ต้อนมันก่อน ซักพัก ก็ให้ทำเสียงกลั๊กๆๆๆๆ ขณะที่ยกแขนขึ้นไปในอากาศ วิ่งไล่มัน เสร็จแล้วให้หยุด แต่ต้องจ้องตาม้าตลอดนะ แล้วก็ให้เดินหนีมัน แต่ให้หันกลับมาทันควัน แล้วเดินย่างสามขุมเข้าไปหาม้า เท่านั้นแหละ ม้าหันมาเดินตามเค้าต้อยๆๆ เลยอ่ะ ไม่ต้องจูง ไม่ต้องมีบังเหียนอะไรทั้งสิ้น -- คนสอนบอกว่านี่แหละเป็นวิธีที่ม้าสื่อสารเวลาหาเพื่อน หรือเวลาสั่งสอนม้าเด็กๆ

ตั้งแต่คนคิดค้นรถราพาหนะต่างๆขึ้น ม้าก็ด้อยความสำคัญลงไปมาก ทั้งๆ ที่สมัยก่อน การที่คนจับม้าป่ามาเป็นสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มความสามารถในการเดินทางไกลให้กับมนุษย์และถือว่าเป็นการพลิกผันโฉมหน้าสังคมอย่างยิ่งยวดมาก่อน

ดูแล้ว รู้สึกมีความสุขมากๆเลยค่ะ



Saturday, October 29, 2011

Francesco Clemente

อ่านเจอเรื่องของจิตกรอิตาเลียนอเมริกันคนนี้โดยบังเอิญ ชอบคำบรรยายเรื่องสไตล์ของเค้า -- ที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเป็น 'อัตตา' ของตัว ที่ถดถอย และขยายวงกว้างขึ้นไปตามกาล -- เหมือนกับบันทึกความเปลี่ยนแปลงและการอยู่รอดของทัศนะศิลป์ในยุควัตถุนิยมในปัจจุบัน

ภาพประกอบทำแบบวาฮอล ไม่เกี่ยวกับคนนี้ ฮ่าๆๆ

Just came across his name and looked him up on wikipedia.  Learned that he's an Italian-American contemporary artist who's influenced
by thinkers as diverse as Gregory Bateson, William Blake, Allen Ginsberg, and J Krishnamurt.  I like this writeup about him but pair it with my Warhol-esqe rendition of my coffee cup here (Aside - I'm fascinated by coffee cups and one of these days I'd make a collection of it.).

Anyway, so here it goes...

" ...the art of Francesco Clemente is inclusive and nomadic, crossing many borders, intellectual and geographical... he has adopted for his paintings a vast variety of supports and mediums, exploring, discarding, and returning to oil paint, watercolor, pastel, and printmaking. His work develops in a non linear mode, expanding and contracting in a fragmentary way, not defined by a style, but rather by his recording of the fluctuations of the self, as he experiences it. The goal is to embrace an expanded consciousness, and to witness, playfully and ironically, the survival of the ecstatic experience in a materialistic society..."


More about Francesco Clemente here: http://en.wikipedia.org/wiki/Francesco_Clemente

Friday, October 28, 2011

2011 World Series - First Game 7 in 9 Years

Texas Rangers and St. Louis Cardinal -- Drama continues after miraculous game last night - Game 6 in St. Louis.

กีฬาแต่ละประเภทมีดราม่าของตัวเอง สิ่งที่ชอบที่สุดในกีฬาคือ เรื่องราวของการต่อสู้ของนักกีฬา โดยเฉพาะเรื่องราวของเบี้ยล่าง ของอันเดอร์ด้อก และความสามารถของ "มนุษย์" ที่สามารถต่อสู้แม้ว่าความหวังบนหนทางแห่งชัยชนะจะริบหรี่แค่ไหน -- การแข่งขันเวิร์ลดซีรี่ส์หรือแชมเปี้ยนชิพแม็ชของเบสบอล ผู้ชนะจะต้องชนะ 4 ใน 7 แม็ช

ก่อนการแข่งขันเกมหก เมื่อคืนนี้ เท็กซัสเรนเจอร์สเป็นตัวเก็ง เพราะนำไปแล้ว 3-2 และทุกคนคิดว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นเกมสุดท้ายที่ทำให้ เรนเจอร์สได้เป็นแชมป์เวิร์ลซี่รี่ส์เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี (ทีมก่อตั้งเมื่อปี 1961) แต่ปรากฏว่า เซนต์หลุยส์ คาร์ดินัล หนึ่งในทีมที่สถิติดีน้อยที่สุดในลีคที่ไม่มีใครคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ กลับพลิกผันเกมอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด -- ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีแม็ชไหนแข่งกันถึงเกม 7 จึงทำให้เกมในวันนี้มีความสุดยอดในตัวของมันเองมากๆ

ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ เพียงขอให้ใจสู้เท่านั้น



Whether or not you're are a baseball fan, you've got to love the drama and the display of miraculous human ability to PERSEVERE and to NEVER GIVE UP even when all the odds are against you and possibility of victory is bleak... The unfolded drama epitomized Yogi Berra's famous quote: "It ain't over till it's over!!!."

Last night, in the bottom of the 9th inning, Rangers were leading 7-5 and the long-awaited World Series Championship was just 1 strike away!!!! ...

Here's my favorite sports photographer Brad Mangin's impression of the moment  (http://manginphotography.net/2011/10/2011-world-series-game-6):

"By the time we got to the bottom of the 9th inning with the Rangers up 7-5 I really thought the Rangers would be celebrating their first World Series championship on the field within moments. Two out. David Freese the batter. Neftali Feliz on the mound. TWO STRIKES! I was focusing my camera on Rangers catcher Mike Napoli [who played on despite a nasty-looking ankle twist]
. I figured he would be the MVP and I wanted to get him jumping in the air and celebrating..."


Texas Rangers' Mike Napoli(notes) reacts after turning his ankle at second during the fourth inning of Game 6 of baseball's World Series against the St. Louis Cardinals Thursday, Oct. 27, 2011, in St. Louis. (picture from Yahoo sports).

Picture from: http://www.star-telegram.com

Then this local kid David Freese hit a deep drive to the right field -- and hampered the Rangers' dream and enabled the Cardinals to stay alive.  The game went to extra innings -- and I could not believe my eyes when it was David Freese who hit a walk-off home run in the 11th inning.

THIS GOT TO BE ONE OF THE BIGGEST COMEBACK OF WORLD SERIES HISTORY.  WELL, WHAT CAN I SAY -- I JUST LOVE STORIES OF UNDERDOGS AND UNLIKELY HEROES.

David Freese hits an 11th inning walk-off home run to win Game Six of the 2011 World Series against the Texas Rangers at Busch Stadium on Thursday, October 27, 2011 in St. Louis, Missouri. The Cardinals defeated the Rangers 10-9. (Photo by Brad Mangin/MLB Photos)




As the camera panned around the stadium, the drama also unfolded in the the losers as well -- especially that played in the face of Nolan Ryan's (one of the greatest pitchers of all times and now Rangers owner).

Picture from: http://www.star-telegram.com

This is also another great story of this year's game.  Josh Hamilton made a comeback after a long battle with addiction.  He hit his first post-season home run last night.


Josh Hamilton of the Texas Rangers in the dugout after he hit a 2 RBI homerun in the top of the tenth to put the Rangers ahead 9-7 during Game Six of the 2011 World Series between the Texas Rangers and the St. Louis Cardinals at Busch Stadium on Thursday, October 27, 2011 in St. Louis, Missouri. (Photo by Brad Mangin/MLB Photos)


Another great story of the game is Nelson Cruz -- with his performance and great play.

On October 27, 2011, Cruz hit a solo home run to put the Texas Rangers up 6 to 4 against the St. Louis Cardinals in Game 6 of the 2011 World Series.  The home run allowed Cruz to tie the record for most postseason home runs in a season at 8; he shares the achievement with Carlos Beltran and Barry Bonds.


Whatever the outcome of Game 7 -- It will be another page in the history of baseball.






Thursday, October 27, 2011

Bangkok Flood Donation Information

I put this information on Facebook and would like to share again here to help spread the word.

BANGKOK!!! When it rains, it POURS!!

The worst is yet to come.


If you would like to help, here's how:

http://www.bangkokpost.com/feature/charities/203275/information-for-flood-donation

The best channel is the The Thai Red Cross.

Thank you.



photo: BBC World News in Pictures.

โชคชะตาหรือว่าความบังเอิญ - Destiny or Coincidence?


Strangers passing each other at intersections of space-time continuum...
Some call it “chance”, others, “destiny”.
ผู้คนแปลกหน้า สวนกัน ณ ห้วงหนึ่งของเวลา...
บางคนเรียกมันว่า “โชคชะตา” บ้างก็ว่า “ความบังเอิญ”

from People, Places, Faces Album

มันแปลกดีนะ เคยเป็นมั้ย เวลาเรานึกอะไร เห็นหรือรู้คำหรือเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่รู้จัก หรือคุยกับใครเรื่องใดเรื่องนึง แล้วจู่ๆ ก็มีอันคอยจะให้เห็นเรื่องๆ นั้น หรือคำๆ นั้นขึ้นมาบ่อยๆ ทีเดียว สองสามวันนี้คุยเรื่อง “หน้าคน” ก็พาให้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับหน้าไปหมด

หาอะไรอ่านไปมาเลยพบว่าปรากฏการณ์แบบนี้มีชื่อเรียกด้วยนะ เออ (ไม่น่าเชื่อ และดีใจสุดๆ ที่ได้อ่าน เพราะตัวเองเป็นบ่อยมากกก)

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “The Baader-Meinhof Phenomenon” หรือ “ปรากฏการณ์บาเดอร์-ไมน์ฮอฟ” ตามเวปไซท์นี้ http://www.damninteresting.com/the-baader-meinhof-phenomenon เค้าบอกว่าสมองของคนเราชอบอะไรที่เป็นแพทเทิร์น และมักจะสามารถจับแพทเทิร์นที่น่าสนใจของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้ของเรา และลืมแพทเทิร์นที่ไม่น่าสนใจ (เรียกว่า Selective Attention) ตัวอย่างเหมือนที่เล่าข้างบน หรืออีกอย่างนึงคือ เวลาที่เรานึกถึงใครอยู่แล้วเค้าก็โผล่ หรือโทรฯมาน่ะ

ปรากฏการณ์นี้จะคล้ายๆ กับทฤษฎีเรื่องความบังเิอิญที่ไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน หรือ ซิงโครนิซิตี้ (Synchronicity)  ของ คาร์ล จุง (นักจิตวิทยาชื่อก้องโลกชาวสวิส) โดยพยายามอธิบายความเกี่ยวเนื่องของเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นว่านอกจากจะรวมกลุ่มเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความเป็นเหตุเป็นผล (causality) ต่อกันและกันแล้ว ก็ยังสามารถจัดกลุ่มเหตุการณ์เหล่านั้นได้ด้วยความหมายของเหตุการณ์ด้วย (คือหลัก synchronicity นั่นเอง) – ทฤษฎีนี้มีการนำไปเกี่ยวโยงกับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relativity Theory) ของไอน์สไตน์ และ ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Mechanics) ของ โวล์ฟกัง เอิร์นส์ เพาลี (Wolfgang Ernst Pauli) ด้วย (เข้าใจเลาๆ ว่า อย่างการอธิบายความบังเอิญนี้ด้วย แนวคิดเรื่อง เอกภพคู่ขนาน หรือ parallel universe เป็นต้น) – ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Synchronicity

นอกจากนี้ คำศัพท์ ที่เกี่ยวกับเรื่องความบังเอิญนี้ก็ยังมีอีก  อย่างคำว่า

อะโพฟีเนีย (Apophenia) หรือการเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล หรือตัวเลข หรือ สัญญลักษณ์ อย่างเช่น ความเชื่อเรื่องนอสตราดามุส หรือการตีความหมายของโค้ดจากไบเิบิ้ล เป็นต้น – http://www.reference.com/browse/Apophenia

เดชาวู หรือ เดจา วู (Déjà vu) แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว มีที่มาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส เอมีล บัวรัค(Emile Boirac - 1851–1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา)  อาการเดจาวูคือรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเคยพบมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งพบครั้งแรก โดยเราอาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันไป  มีการอธิบายว่า เดชาวู เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง (ที่มา http://www.baanmaha.com/community/thread36616.html)



Have you ever had this experience where you just heard, seen, or thought about some words, phrases, concept and then all of a sudden, those words, phrases or concepts just pop up everywhere right afterwards?  I experience that a lot -- so much so that it feels more than a mere coincidence and most often I merely think of that experience a a "hunch".  But apparently, this phenomenon has a name. Ta da!!! Weird, ha?

According to
Alan Bellows of www.damninteresting.com, the phenomenon is called The Baader-Meinhof Phenomenon.  And here's his explanation:

"And you may have heard about it before. In fact, you probably learned about it for the first time very recently. If not, then you just might hear about it again very soon. Baader-Meinhof is the phenomenon where one happens upon some obscure piece of information– often an unfamiliar word or name– and soon afterwards encounters the same subject again, often repeatedly.

Anytime the phrase “That’s so weird, I just heard about that the other day” would be appropriate, the utterer is hip-deep in Baader-Meinhof.Most people seem to have experienced the phenomenon at least a few times in their lives, and many people encounter it with such regularity that they anticipate it upon the introduction of new information. But what is the underlying cause? Is there some hidden meaning behind Baader-Meinhof events?The phenomenon bears some similarity to synchronicity, which is the experience of having a highly meaningful coincidence… such as having someone telephone you while you are thinking about them.

Both phenomena invoke a feeling of mild surprise, and cause one to ponder the odds of such an intersection. Both smack of destiny, as though the events were supposed to occur in just that arrangement… as though we’re witnessing yet another domino tip over in a chain of dominoes beyond our reckoning.

Despite science’s cries that a world as complex as ours invites frequent coincidences, observation tells us that such an explanation is inadequate. Observation shows us that Baader-Meinhof strikes with blurring accuracy, and too frequently to be explained away so easily. But over the centuries, observation has also shown us that observation itself is highly flawed, and not to be trusted. The reason for this is our brains’ prejudice towards patterns.

Our brains are fantastic pattern recognition engines, a characteristic which is highly useful for learning, but it does cause the brain to lend excessive importance to unremarkable events. Considering how many words, names, and ideas a person is exposed to in any given day, it is unsurprising that we sometimes encounter the same information again within a short time. When that occasional intersection occurs, the brain promotes the information because the two instances make up the beginnings of a sequence.

What we fail to notice is the hundreds or thousands of pieces of information which aren’t repeated, because they do not conform to an interesting pattern. This tendency to ignore the “uninteresting” data is an example of selective attention.In point of fact, coincidences themselves are usually just an artifact of perception. We humans tend to underestimate the probability of coinciding events, so our expectations are at odds with reality. And non-coincidental events do not grab our attention with anywhere near the same intensity, because coincidences are patterns, and the brain actually stimulates us for successfully detecting patterns… hence their inflated value. In short, patterns are habit-forming.

But when we hear a word or name which we just learned the previous day, it often feels like more than a mere coincidence. This is because Baader-Meinhof is amplified by the recency effect, a cognitive bias that inflates the importance of recent stimuli or observations. This increases the chances of being more aware of the subject when we encounter it again in the near future. How the phenomenon came to be known as “Baader-Meinhof” is uncertain.

It seems likely that some individual learned of the existence of the historic German urban guerrilla group which went by that name, and then heard the name again soon afterwards. This plucky wordsmith may then have named the phenomenon after the very subject which triggered it. But it is certainly a mouthful; a shorter name might have more hope of penetrating the lexicon. However it came to be known by such a name, it is clear that Baader-Meinhof is yet another charming fantasy whose magic is diluted by stick-in-the-mud science and its sinister cohort: facts.

But if you’ve never heard of the phenomenon before, be sure to watch for it in the next few days… brain stimulation is nice."


Related topics:

Synchronicity

Synchronicity – The Skeptic’s Dictionary – Skepdic.com

Déjà vu

Apophenia

Coincidences: Remarkable or Random?

Whats Wrong with the I Ching? Ambiguity, Obscurity, and Synchronicity



Tuesday, October 18, 2011

I Know Who Has A Pre-production Canon 5D Mark III


ขำ น่ารักดี จริงป่าวไม่รู้ :))


Sunday, October 16, 2011

คนอะไรสวยตลอดปี - An Enigmatic Smile

เมื่อคืนเดินผ่านตู้โชว์ร้านนึงที่เค้าโชว์ภาพของมาริลีน มอนโร ในกระจก คิดดูว่าเิดินผ่านไปแล้วยังต้องเดินย้อนกลับมาดูอีก แล้วก็ต้องมนต์ ยืนดูอยู่นานนนนมาก บอกไม่ถูกว่าทำไม

พอกลับมาค้นก็เจอโพสต์ของคุณ hayana วันก่อนเรื่อง "100 บุคคลที่เป็นไอค่อนตลอดกาล"    ดูตอนแรกนึกว่ารูปเดียวกัน แต่ทำไมรู้สึกไม่เหมือนกัน พอค้นในเน็ทก็พบว่า ภาพนี้มีหลายเวอร์ชั่น จาก "Ballerina Series" ถ่ายโดย Milton H. Greene

ภาพที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ เป็นภาพที่มาริลีนยิ้มอย่างสนุกสนาน แต่กลับเป็นเรื่องราวในใบหน้า แววตาและท่าทางของภาพนี้ต่างหากที่ตราตรึงใจและทำให้อยากค้นหาซะเหลือเกิน

Monday, October 3, 2011

น้ำท่วมกรุงเทพ ปี 2485 (Bangkok floods in 1942)

สุดยอดมากๆ เลยค่ะ คุณแท้ เธอสุดยอดจริงๆ
นี่คือยุคแรกของ youtube อย่างแน่แท้

ดูแล้วรู้สึกขนลุกและชอบมากๆ เพราะไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นแบบ home movie แบบนี้เกี่ยวกับประเทศไทย คือแบบไม่มีเสียงคนพากษ์ที่เป็นทางการเกิ๊น แล้วมีทำเสียงหล่อตลอดน่ะค่ะ


Sunday, October 2, 2011

เรื่อง ‘แมว แมว’

ทั้งฝรั่งและไทยมีชื่อเรียกเป็นพิเศษสำหรับแมวแต่ละสี ซึ่งเป็นเรื่องที่สงสัยมานานมากและพอจะรู้เลาๆ แต่ก็ไม่ถ่องแท้ซะที วันนี้ลงมือหาข้อมูลดีกว่า

ก่อนอื่นค้นพบว่า สีของขนแมวนั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ของโครโมโซม และถือว่าเป็น mutation ชนิดหนึ่ง แต่ทั้งนี้มันมีแพทเทิร์นของการกลายพันธุ์และสามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ ในที่นี้จะนำมาเล่าคร่าวๆ ตามความเข้าใจละกันนะคะ (ไม่ได้มีความรู้เรื่องแมวมากนัก) เท่าที่อ่านดูจากหลายเว็บไซท์ ถ้าแบ่งตามพันธุ์ แมวแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ แบบขนสั้น หรือ อบิสซิเนียน กับพวกขนยาว และในสองพันธุ์ใหญ่ๆ นี้ สามารถมีสีได้ตามกลุ่มที่จะพูดถึงนี้ได้ทั้งสองพันธุ์


เิริ่มที่แมวไทย (Siamese Cat) ก่อนดีกว่า
Photobucket

ลักษณะสีแบบแมวไทยที่เห็นนี่ ฝรั่งเรียก seal point (ซีลพ้อยท์) ตามตำนานแมวไทยโบราณน่าจะเป็น “แมววิเชียรมาศ” เรื่องลักษณะของแมวไทยนี่ ลืมไปนานแล้ว แต่เอามารื้อฟื้นความจำเป็นสิ่งที่ดีมาก “เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา … แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร” จาก วิกิพีเดียเรื่อง แมวไทย

Tabby Cat / แท้บบี้แคท แมวสองสี

Photobucket

คือพวกลายๆ แบบเสือ และจะมีลายเป็นตัว M อยู่ตรงหน้าผาก ที่เห็นอยู่บ่อยๆ มีสองแบบ แบบแรกคือ Classic (or 'Blotched') Tabby แบบตัวที่เห็นนี่  ตรงสีข้างมันจะมีลายเป็นวงๆ เรียกว่า bullseye pattern คลาสสิคแท้บบี้นี่ส่วนใหญ่ที่เห็นทั่วไปจะเห็นสองสี คือเทากับสีส้ม แต่ฝรั่งเรียกสีแดง red tabby.




ถ้าเป็นลายเสือ มีลายตัว M ตรงหน้าผากเหมือนกัน แต่ลายตรงสีข้างไม่เป็นวงๆ แต่เป็นลายก้างปลา อย่างตัวโตที่อยู่บนรั้ว จะเรียกว่า Mackerel Tabby / แมคเคอเรล แท้บบี้ หรือลายปลาทู ^^

จริงๆ พวกแท้บบี้นี่มีอีกสองแบบคือ "Ticked"/ ลายขีดๆ กับ "Spot" ลายจุด แต่ไม่เคยเห็นเลย ก็เลยไม่ได้เอามาอธิบายนะคะ

Photobucket

ถ้าแบบที่มีถุงเท้าสีขาวแบบนี้เรียก Mitted (มิทเท็ท)

Photobucket


มาถึงแมวสามสีบ้าง

Photobucket

แบบนี้เรียกว่า Tortoiseshell หรือ tortie (ลายกระ) คือมีสีดำอมส้มและมีสีขาวอยู่ตรงไหนตรงนึง


Photobucket

แบบที่
มีสามสี พื้นขาวเยอะๆ แล้วมีลายๆ สีประเป็นสีดำ กับ เหลืองอมส้ม เรียกว่า Calico / คาลิโค่

Photobucket


ส่วนแบบที่เป็นสีขาว แล้วมีวงสีแต้มๆ อย่างนี้เรียก Harlequin (ฮาร์ลิควิน) สีนี้ไม่จำกัดเฉพาะแมว คิดว่าม้า หรือ หมา สีแบบนี้ก็เรียกอย่างนี้ด้วย ขออภัยที่ภาพเป็นแบบนี้ ถ่ายไว้นานแล้วสมัยจับกล้องใหม่ๆ แล้วเจ้าตัวนี้ขี้อายมากๆๆๆ -- ลักษณะสีของเจ้าตัวนี้คล้ายแมวเก้าแต้มตามตำราไทย แต่คิดว่าสีที่แต้มคงต้องเป็นสีเดียวหรือเปล่าไม่แน่ใจ ข้อมูลในเน็ทไม่ค่อยชัดเจนค่ะ

จริงๆ แล้วชื่อเรียกสีและลายยังมีอีกนะคะ แต่ว่าไม่มีรูปถ่ายและดูจากในเน็ทก็ไม่ชัดเจนว่าสีแบบไหน เอาไว้เจอตัวจริง ได้ถ่ายชัดๆ แล้วจะค้นคว้ามาเล่าให้ฟังต่อค่ะ

แมวนี่ยังถือเป็นสัตว์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารในหลายๆ วัฒนธรรม ตั้งแต่อิยิปต์โบราณมา  อย่างวัฒนธรรมไทยกับชวาก็มีการแห่นางแมวขอฝน ญี่ปุ่นก็มีแมวนางกวัก (maneki neko) ส่วนฝรั่งก็มีความเชื่อเรื่อง แมวเก้าชีวิตเหมือนกัน

แต่ฝรั่งบางคนก็เชื่อโชคลางและคิดว่าแมวดำจะนำโชคร้ายมาให้  ตัวเองเคยมีรูมเมท เค้าเลี้ยงแมวดำชื่อ ปริ้นเซสเชียวนะ เพื่อนบ้านไม่ค่อยชอบหน้าเอาซะเลย โดยเฉพาะเพื่อนบ้านคนนึง ดูท่าทางจะเป็นคนครีโอล (Creole - คือเป็นคนผิวสีที่มีเชื้อสายฝรั่งเศส ส่วนมากจะอยู่แถวหลุยส์เซียน่า หรือไม่ก็คนที่มีเชื้อสายยุโรป หรือสเปน ที่เกิดในแถบหมู่เกาะเวสท์อินดิส หรือ อเมริกาที่เป็นเมืองขึ้นของสเปน)  พอผู้หญิงคนนี้เดินออกจากบ้าน แล้วเจ้าปริ้นเซสเดินผ่านหน้า เค้าวิ่งหนีขึ้นบ้านไปเลย ร้องลั่นบอกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้แล้ว โมโหใหญ่ นอกจากนี้ในวันฮาโลวีน รูมเมทก็ต้องเก็บเจ้าปริ้นเซสไว้ในบ้าน เพราะถ้าไปเพ่นพ่านอาจตายหยั๋งเขียดได้ ซึ่งตรงข้ามกับตำราไทยของเราที่ว่า แมวดำปลอด หรือ นิลรัตน์นั้น เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย

แหม ตอนจบรู้สึกว่าเข้าบรรยากาศใกล้วันฮาโลวีนพอดี ช่างเหมาะเหม็งอะไรเช่นนี้ สรุป วันนี้ก็หายสงสัยเรื่องนี้ซะที

Source:
- Cat - wikipedia
- Cat Coats Genetics - wikipedia
- Cat Colors FAQs - Common Colors
- แมวไทย - วิกิพีเดีย
- ทำไมต้องใช้แมวแห่ขอฝน

Friday, September 9, 2011

The Rocket Science of Pitching

The Amazing Timmy Lincecum.  They don't call him "The Freak" for nothing.

แม้ว่ากีฬาอย่างอเมริักันฟุตบอล บาสเกตบอล จะเป็นกีฬาอเมริกันที่ดูตื่นเต้นกว่า แต่เบสบอลเป็นเกมที่สามารถทำให้คนดูกลั้นหายใจด้วยความหวาดเสียวได้มากที่สุด เพราะมันเป็นเกมที่มีความเงียบ ที่เป็นความเงียบก่อนพายุจะมา เกมสามารถพลิกผันหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในเสี้ยววินาที โอยยยย

แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถของร่างกายมนุษย์ มันสุดยอดจริงๆ

ทิมมี่ "เดอะฟรี้ค" ลินซิคั่ม เป็นพิชเชอร์ที่น่าทึ่งที่สุดในเมเจอร์ลีคเบสบอลในปัจจุบัน อย่างที่พวกผู้รู้พากันเกาหัวด้วยความงง ...ทิมมี่เป็นคนตัวเล็กมากถ้าเทียบกับพิชเชอร์ทั่วไป ด้วยความสูงเพียง 5 ฟุต 11 นิ้ว (177.5 เซนติเมตร) และน้ำหนักเพียง 172 ปอนด์ (78 ก.ก.) ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีพลังสูงถึงขนาดข้างลูกได้ 95-97 ไมล์ต่อชั่วโมง (153-156 กม/ชม) สุดยอดมากกก

เป็นพิชเช่อร์ที่ท่าสวย ดูแล้วสนุกด้วย




How Tiny Tim Became A Pitching Giant

The mechanics of diminutive Tim Lincecum—looks 18, throws 98—are more than an act of violence, they're a marvel of modern science. Unconventionally honed by his father, that delivery has produced the most fascinating ace of his generation.




Jet Man @ Grand Canyon West

Men and the desire to fly in a totally new meaning (for me anyway).
คำนิยามใหม่ของ "วิหคสายฟ้า"


Dave Hill Photography

http://www.davehillphoto.com/
เพิ่งได้ข้อมูลเรื่องช่างภาพคนนี้จากคุณ Rattapan ขอบคุณค่ะ

ภาพแนวผจญภัยแนวเหนือจริงกึ่งการ์ตูนของแกน่าสนใจดี ชอบภาพนี้ของเค้า



ดูแล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Sky Captain and the World of Tomorrow (2004)




กับงาน Pop Art สมัย1960s ยังไงบอกไม่ถูก

อย่างภาพนี้ของ Tom Wesselmann - Still Live #20 (1962)



หรือภาพนี้ของ Wayne Thiebaud - Three Machines (1963)


Fan Ho | PhotoSlaves

http://photoslaves.com/fan-ho/
แสงเงาขั้นปรมาจารณ์ ขอบคุณคุณโต้ง Napnik สำหรับแรงบันดาลใจค่ะ

Monday, August 29, 2011

On Assignment - Yosemite Climbing for NG By Renan Ozturk

วันก่อนมีเพื่อนถามว่า ไปโยเซมิติมากี่ครั้งแล้ว คำตอบคือบ่อยจนจำไม่ได้ แต่ความทรงจำของ "ครั้งแรก" ยังใหม่เอี่ยมอยู่ในหัวใจเสมอ ... ความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ขณะที่เือื้อมลงไปล้างมือในลำธารอันเย็นเฉียบ แล้วสายตาเหลือบมองความอลังการของ เอล แคปิตัน (El Capitan) ท่ามกลางกลิ่นสนหอมกรุ่น ... เสี้ยววินาทีนั้นยังพิมพ์อยู่ในใจ แม้กี่ปีผ่านไปก็ไม่เคยลืม

คงเป็นเช่นคนเหล่านี้กระมัง ที่ยังคงกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับที่นี่คือบ้านอันอบอุ่น คือวัด คือชุมชน คือศาสนา คือความเชื่อ คือแก่นของชีวิต



Description by Ozturk
"As a climber sometimes our biggest job is to try to do justice to the amazing stories of our friends and peers.  For this piece I worked with our crew at camp4collective.com to tell thenorthface.com athlete Jimmy Chin's story as he in turn highlights modern day climbing in Yosemite for a National Geographic feature story.


It seemed so serendipitous to be 'on assignment' in a place that we all cut out teeth as adventurers and which also ended up becoming the namesake of our collective! "

Shot on the Canon 5d, L series lenses

Friday, August 26, 2011

เฮ้ย เจ้านี่พ่อแม่ไม่สั่งสอน

Photobucket

เวลาคนทำเค้าก็ว่าพ่อแม่ แล้วเวลาสัตว์ทำจะไปว่าใครว้าเนี้ยะ -- ดูมัน ไม่มีมารยาทที่โต๊ะอาหารเอาซะเล้ย 555

คริกกี้รีเทอร์น

เมื่อคืนก่อนนอนเห็นคริกกี้เกาะอยู่เหนือเตาอบ ก็คิดว่าปล่อยมันตามสบายดีกว่าเพราะ Too much drama for one night เนอะ

เช้าขึ้นตื่นมาไม่เห็นคริกกี้แม้แต่เงา ไม่อยากจะิิคิดว่ามันตกเป็น “เหยื่อ” ไปซะแล้ว

เฮ้อ… ถึงยังไง เราก็ได้พยายามดีที่สุดแล้วใช่มั้ย…

ตอนเย็นกลับมาบ้านก็มองหา ด้วยความหวังอันริบรี่ว่ามันอาจจะรอดปากแมงมุม หรือมดมาแล้วอาจจะเดินด๊อกแด๊กอยู่ในบ้านก็ได้ คงจะเศร้าน่าดูถ้าหากว่ามันรอดมาได้จริงๆ แต่ดันโดนเราเหยียบจนแบนแต๊ดแต๋แทน … อยากจะกู่เรียกมันดังๆ แต่ก็ลืมไปว่ามันไม่ใช่หมาแมวซักกะหน่อย

“โอเค ไม่เห็นเงา แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เราเหยียบ ก็ยังดี”

ซักพัก เรากำลังนั่งเพลินๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรไหวๆ ปรากฏว่าจู่ๆ คริกกี้โผล่มาจากหลังคอมพ์พิวเตอร์ เดินงกๆ เงิ่นไปบนโต๊ะ กริ๊ดดด มันยังไม่ตายยยย เย้!!!!!!  อย่างน้อยก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ ตกลง เธอรอด เยี่ยม … แต่แล้วแค่วินาทีเดียวก็ต้องหนักใจในเปราะที่สอง

“มันจะไปรอดเร้อเนี่ยะ ดูท่าทางเหมือนคนฟื้นไข้ เดินกระหยองกระแหยง มีหวังอยู่ข้างนอก นกจับกินตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวแรกแหงๆ … งั้นลองปล่อยมันอยู่ในบ้านไปก่อนละกัน ถือว่าอยู่ในระยะพักฟื้น ^^” เราคิดพลางถอนใจใหญ่

ต่างคนต่างอยู่ไปซักพัก เจ้าคริกกี้ก็เดินง่อนแง่นไปใต้โต๊ะ และไหนต่อไหนหารู้ได้ไม่

“เออ ตั้งแต่มันฟื้นมานี่ยังไม่เห็นมันบินเลย มันจะบินได้อีกมั้ยเนี่ยะ”

คิดยังไม่ทันจบดี คริกกี้เหมือนนั่งอยู่ในใจบินมาจากไหนไม่รู้ หล่นป้อกลงบนพื้นครัว

“เฮ้! บินได้หน่อยนึงแล้วนี่หว่า เยี่ยมๆๆ – Good to have you back, Buddy :) ”  พยาบาลเริ่มใจชื้น

“นี่มันคงหิวเหมือนกันนะเนี่ยะ หาไรให้กินดีหว่า” ไม่เคยทำอาหารแมลงจึงสุดจะรู้ได้ว่า ผักหญ้าแบบไหนจะถูกปากว่าแล้วก็ไปหักกิ่งเล็กๆ ของต้นพลัมมาเขี่ยคริกกี้ขึ้นมา

“อืม สงสัยต้องปูเตียงให้คริกกี้ดีก่า อ่างสลัดใสๆ นี่ท่าทางจะไม่เลว”

Photobucket

พอลงไปในอ่าง คริกกี้ก็เริ่มหง่ำๆๆ ใบไม้ใกล้ตัวนิดหน่อย แต่ก็เบื่อ ฉับพลันก็มองเห็นดอกนัสเตอร์เชี่ยมที่ย้อยอยู่ใกล้ๆ โอ้วววว เธอโน้มลงมาหม่ำใหญ่เลยจ้า … ไม่นึกเล้ยว่าเธอชอบส้มตำ อิอิ

Photobucket

ไหนเคยอ่านว่าเจ้าดอกนี่ (คนก็กินได้) สัตว์ไม่ชอบ โดยเฉพาะกวาง เพราะมันเปรี้ยวๆ
อืมมม เจ๋งๆๆๆ มองดูเจ้าคริกกี้ หม่ำ หม่ำ แล้วรู้สึกไม่เชื่อสายตาว่า ดูไปดูมากิริยาท่าทางมันจะเหมือนสัตว์ใหญ่ๆ ทั่วไป จนแทบจะลืมไปเลยว่ามันเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆนะเนี่ยะ

ดังนั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ชีวิต ไม่ว่าจะมีขนาดเพียงน้อยนิดแค่ไหน ก็ทรงคุณค่า น่าพิศวงเสมอจริงๆ

“การช่วยเหลือ”แก่ใคร หรือ อะไร แม้จะดูว่าเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย และทำไปก็ไม่มีประโยชน์ และบางครั้งท้อแท้เพราะมีคน หรือสถานการณ์คอยบั่นทอนกำลังใจ ดังนั้นไม่ทำซะเลยดีกว่า เพราะมันคงช่วยให้โลกดีขึ้นไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าแค่การทำให้โลกของใครดีขึ้นเพียงคนเดียว มันก็มีความหมายกับคนๆ นั้น มากที่สุดในโลก เหมือนนิทานเรื่องที่จะเล่านี้

หลายคนคงเคยได้ยินคล้ายๆ กันมาบ้างแล้ว แต่เวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นจากฮาวายค่ะ


ปลาดาว (คะ โฮขุ ไค Ka Hôkû Kai  [kah HOH' KOO' kai])
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้เฒ่า(คาพูน่าkupuna) ผู้หนึ่ง เช้าวันหนึ่งขณะที่เดินไปตามชายหาด ผู้เฒ่ามองเห็นคนกำลังร่ายรำอย่างงดงามอยู่ จึงคิดว่าใครกันนะ มาร่ายรำระบำฮูล่าเพื่อบูชาอรุณรุ่ง ณ ที่นี้
เมื่อเข้าไปใกล้ ปรากฏว่านางระบำนั้นกลับกลายเป็นเด็กน้อย (เคขิ Keiki) แต่แทนที่จะกำลังเต้นฮูล่า เด็กน้อยกำลังเก็บอะไรสักอย่างขว้างไปในทะเล

ผู้เฒ่าจึงถามเด็กน้อยว่า “เคขิ เจ้าทำอะไรหรือ”
เด็กน้อย ชะงักเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นตอบว่า "โยนปลาดาวลงไปในทะเลจ้ะ"
ด้วยความฉงน ผู้เฒ่าจึงถามต่อว่า “แล้วทำไมเจ้าต้องโยนมันลงไปด้วยเล่า”
เด็กน้อยยิ้มสดใส ก่อนจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับบอกว่า
“พระอาทิตย์กำลังขึ้นสูงขึ้นทุกที น้ำก็เริ่มจะลง ถ้าหนูไม่ได้โยนพวกมันลงไปในทะเล มันก็ต้องตายกันหมด"
ผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นจึงพูดต่อว่า “ชายหาดทอดยาวเหลือเกินขนาดนี้ ปลาดาวก็มีมากมายก่ายกอง โยนลงไปไม่่กี่ตัว มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ หนู”
เด็กน้อยนิ่งฟังอย่างสุภาพ แต่ค่อยๆ ก้มลงหยิบปลาดาวตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วขว้างมันไปให้ไกลพ้นจากเกลียวคลื่นที่จะซัดมันกลับเข้ามาสู่ฝั่ง แล้วหันมาบอกผู้เฒ่าว่า
“มันทำให้เจ้าตัวนี้ดีขึ้นนี่จ๊ะ”

Original Story: The Star Thrower by Loren Eiseley, 1979

ความหวังดีที่เกือบกลายเป็นความประสงค์ร้าย และ ไทโธนัส ผู้เป็นอมตะ



Photobucket

เมื่อหัวค่ำ มีเจ้าตั๊กแตนตัวเขียวปี๋ตัวนี้หลงเข้ามาเยี่ยมในบ้าน

แหม มันสีสวยงาม ก็เลยจับมันเป็นนายแบบ (หรือนางแบบหว่า) แถมเล่นหนังตะลุงให้ดูซะเลย

ถ่ายมันไม่กี่ช้อต เจ้าตั๊กแตนน้อย (ขอตั้งชื่อว่าเจ้าคริกกี้ -- เหมือนในเรื่องมู่หลาน) ก็เริ่มรำคาญกระโดดหยองแหยงเด้งไปโน่นนี่ไปตามเรื่อง เราก็เลิกสนใจมัน รู้ตัวอีกทีไ้ด้ยินแสงมันกระโดดปุลงไปในอ่างล้างจาน โอ้ยโหย ในนั้นมันมีอ่างน้ำยาล้างจานกับอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอยู่น่ะ เหวอออ เดี๋ยวมันซี้แหง …ไม่ได้ ๆ ต้องไปช่วยเอามันออกไปข้างนอกดีกว่า

พอเราไปชะโงกตรงอ่างเท่านั้นแหละ เจ้าคริกกี้ก็ตื่นเต้นเด้งหล่นลงไปในอ่างน้ำยาล้างจานจนได้
อารามตกใจ เราก็เลยจับมันขึ้นมา เปิดน้ำก้อกล้างมันซู่ใหญ่ นึกอะไรไม่ทัน มันก็ัยังดิ้นๆ ในที่สุดเราก็เอามันออกไปที่ต้นไม้ข้างนอกชานจนได้ พอถึงต้นไม้ มันก็เด้งดึ๋ง ดีดตัวจากเราไป นับว่าเสร็จภาระกิจ

พอเดินกลับเข้ามาในบ้าน เกิดฉุกใจอะไรก็ไม่รู้คิดว่าออกไปเช็คดูมันหน่อยดีกว่า ก็เลยคว้าไฟฉายออกไปส่องหาคริกกี้ … ปรากฏว่ามันนอนเค้เก้อยู่บนพื้นไม่ไหวติง … แง๊ๆๆๆ … ช่างเศร้าใจ ตั้งใจทำบุญกลับได้บาป … ก้มเก็บเจ้าคริกกี้ขึ้นมาด้วยความเซ็งสุดๆ เอามันกลับมาในบ้าน ลองเอานิ้วแหย่ๆ มันดู ก็รู้สึกว่าตีนมันเหมือนยังเหนียวๆ เกี่ยวๆ นิ้วอยู่นิดๆ ป่าวน้า … ไม่เลย นิ่งสนิท … เฮ้อ
เวรกรรม นี่เราหวังดีแท้ๆ กลายเป็นประสงค์ร้ายไปซะได้ ปล่อยให้มันอยู่ดีๆ ก็หมดเรื่องไปแล้วเนี้ยะ
ทำไงดีหว่า ขืนวางมันไว้เดี๋ยวกลายเป็นเหยื่อมดแน่ๆ เลย เอามันไว้ในชามดีมั้ย มดจะได้ไม่ตอมมัน ว่าแล้วก็เอามันหย่อนปุลงไปในชามเปล่า แล้่วก็หันไปทำอะไรต่อมิอะไรต่อไป แต่ในใจยังเศร้าไม่หาย รู้สึกว่าไม่ควรรนหาเรื่องเล้ยจริงๆ … แล้วจู่ๆ เราก็คิดยังไงไม่รู้ หันไปมองในชามอีก อ๊ะ ชามมันเปียกนี่นา ว่าแล้วก็หยิบคริกกี้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอาผ้ารองมันเพื่อเช็ดให้มันแห้ง รู้สึกว่าสงสารมันและคิดว่าตัวเองบ๊องเป็นที่สุด…


Photobucket

และแล้ว … มหัศจรรย์พันลึก คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา พอคลี่ผ้าออกมาแทบไม่เชื่อสายตา

ตรงท้องมันขยับอ่ะ มันหายใจล่ะ พระเจ้าช่วยยยยยยย … ไม่ยักรู้ว่าแมลงหายใจท้องยวบขึ้นลงแบบคนด้วย จึ๋ยยยยยย มันไม่ตายเหรอเนี่ยะ โว้ววววว … ท้องมันเริ่มยวบขึ้นลงแรงขึ้นเรื่อยๆ เราลุ้นแบบเดียวกับที่เห็นเค้าช่วยคนจมน้ำในหนัง… ในที่สุด อย่างช้าๆ คริกกี้ก็เหมือนงัวเงีย ฟื้นขึ้นมา เราเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เรากำลังมองสัตว์ที่สลบหรือช้อคไปแล้วค่อยๆ กลับฟื้น มันสุดยอดจริงๆ … ซักพัก คริกกี้สลัดปีกจนน้ำกระเด็นโดนหน้าเรา เหมือนกับหมาสลัดขน  แล้วก็ค่อยๆ ขยับขาทั้งหกของมัน จนในที่สุดมันลุกขึ้น ค่อยๆ โงนเงน ก้าวไปทีละนิด สลับกับสลัดน้ำออกจากปีกมันอีก…การก้าวย่างของมันเหมือนกำลังมึนงงอยู่ แล้วค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ


Photobucket

ดีใจเหลือเกินที่ไม่ได้ทำบาป ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากคริกกี้เป็นตัวนำโชคและการเริ่มต้นใหม่มาให้อย่างที่คนญี่ปุ่น และคนจีนเชื่อกันจริงๆ เราก็ต้องแห้วเป็นแน่

Photobucket

พูดถึงตั๊กแตนก็นึกถึงตำนานกรีกที่เกี่ยวกับตั๊กแตนขึ้นมาได้

Francesco de Mura
Aurora, goddess of the morning and Tithonus, Prince of Troy


ตำนานนี้กล่าวถึง เจ้าชายไทโธนัส (Tithonus) โอรสของกษัตริย์ลีโอมิดอน (Laomedon) แห่งกรุงทรอย ผู้เป็นคนรักของ อีออส (Eos : ชื่อกรีก) หรือ ออโรร่า (Aurora : ชื่อโรมัน) เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ บริวารที่ใกล้ชิดเทพอพอลโล่ (Apollo) มากที่สุด ทำหน้าที่เปิดประตูให้ราชรถทองคำของอพอลโลออกโคจรในยามรุ่งเช้า และไขแสงเงินแสงทองเป็นสัญญาณเบิกทางโคจรด้วย  อีออสนั้นเป็นเทพธิดา ไม่แก่ ไม่ตาย แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างไทโธนัสไม่เป็นเช่นนั้นนางเกรงว่าสักวันสามีจะต้องตายจาก จึงไปขอซุส (Zeus / Jupiter) ให้มอบชีวิตอมตะให้แก่ไทโธนัสแต่ปรากฏว่านางลืมขอความเป็นหนุ่มให้แก่เขาด้วย ไทโธนัสจึงมีชีวิตอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ตำนานในยุคหลังเล่าว่า สุดท้ายไทโธนัสกลายร่างเป็นตั๊กแตน (บางตำราก็ว่าจั๊กจั่น) ไปในที่สุด ดังนั้นในบางแห่งตั๊กแตนจึงเป็นสัญญลักษณ์แห่งชีวิตที่ยืนยาวด้วย

นอกจากนี้ยังมีกลอนที่โด่งดังของลอร์ดอัลเฟรด เทนนิสันชื่อ Tithonus ที่มีวรรคขึ้นต้นว่า

The woods decay, the woods decay and fall,
The vapours weep their burthen to the ground,
Man comes and tills the field and lies beneath,
And after many a summer dies the swan.


ดังนั้นนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความตั้งใจดีบางครั้งก็นำความเดือดร้อนมาให้ผู้ือื่นได้เช่นกัน


Monday, August 22, 2011

นี่มันเบสบอลหรือละครดาวพระศุกร์ ? High Drama in Baseball

เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมคนอเมริกันถึงติดเบสบอลกันนัก โดยเฉพาะการติดตามเกมทางวิทยุ โอ้ววว จะบอกว่ามันเหมือนกับละครวิทยุคณะนีลิกานนท์ที่ฟังสมัยเด็กๆ เลย … ไม่อยากเชื่อว่ามันตื่นเต้นถึงขนาดกลั้นหายใจตามไปด้วย คนพากษ์เก่งที่สุด ถึงขนาดไม่ได้ฟังวันไหนมันเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง

เบสบอลเหมือนละครวิทยุที่ทำให้ติดงอมแงมก็เพราะในช่วงฤดูการแข่งขันตั้งแต่ ปลายกุมภาฯถึงกันยาฯ เกมแข่งกันเกือบทุกวันนอกจากวันจันทร์ แข่งกันไปเรื่อยๆ ถึง 164 เกม ติดตามกันทุกวันจนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน สุขเศร้าเคล้าน้ำตา ตามไปยิ่งกว่าซี่รี่ย์เกาหลี

ถึงจุดนี้ เกมก็เริ่มเข้มข้นขึ้นไปทุกที … มีทุกรสชาติ แพ้ชนะเกิดขึ้นได้ภายในเสี้ยววินาที … บางคนพ่ายแพ้ บางคนชนะ บางคนได้เป็นวีรบุรุษเพราะสถานการณ์… เมื่อวานจะเป็นยังไงไม่สำคัญ พรุ่งนี้คือวันวัดใจ… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างสามารถพลิกผัน ขอเพียงแต่มีสมาธิ ใจสู้ ไม่ว่อกแว่ก ไม่ยอมแพ้… มันเหมือนรสชาติของชีวิตซะจริง…


ณ วันนี้ ทีมซานฟรานซิสโก ไจแอ้นท์ของเรามีบาดแผลเหวอะหวะ ดาราสำคัญๆ เจ็บกันระนาว แต่ก็ยังฮึดสู้ต่อไป…

พร่ำเพ้อมาเยอะ แต่ก็เอาภาพถ่ายกีฬาของ Brad Mangin มาฝากค่ะ – ถ่ายได้อารมณ์ดีเลิศชอบจัง
... ขอเริ่มที่น้องทิมมี่และบัสเตอร์ขวัญใจแม่ยก อิอิอิ







PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket