Explorer of Life

Sunday, September 19, 2010

A Single Man 1 – หนังดีที่คนรักหนังและคนรักการถ่ายภาพไม่ควรพลาด (ตอนที่ 1)

Photobucket

Just got a chance to watch this movie on DVD and absolutely love it.  Everything about it -- cinematography, the script, the acting, the set, the plot, the subtext -- are JUST engaging and classy.  There are tons of quotable lines throughout the movie and also from the excellent commentary by Producer/Director Tom Ford. There are two parts to this blog... nuff said.

เพิ่งเอาหนังเรื่องนี้มาดูเมื่อวานนี้ ดูจบประทับใจสุดๆ ยอดมากๆ จนต้องใส่ไว้ในทำเนียบหนังในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ทุกอย่างเกี่ยวกับหนังไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนต์ซึ่งโดนใจมากจนต้องคัดเก็บไว้แทบทั้งเรื่อง การออกแบบฉากและเครื่องแต่งกาย การแสดงที่โดดเด่นของดาราทุกคน การถ่ายภาพและตัดต่อ รวมทั้งเพลงประกอบ ขอบอกว่าสุดยอดจริงๆ จนน่าจะไ้ด้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในทุกๆด้าน แต่ผ่านตากรรมการออสก้าร์ไปซะงั้น

หนังเรื่องนี้สร้างและกำกับโดย Tom Ford แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังที่ปฏิวัติแบรนด์ให้ Gucci, Yves Saint Laurant และมีผลงานด้านโฆษณาที่สะท้านสะเทือนวงการแฟชั่นมาแล้ว โดยมีเค้าโครงจากนวนิยายของ Christopher Isherwood

ดารานำ Colin Firth แสดงเป็นจอร์ช อาจารย์มหาวิทยาลัยเกย์วัยเริ่มกลางคน เรื่องนี้ คอร์ลินเล่นดีมากจนได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมที่เทศกาลหนังที่เวนิส และได้รับเสนอชื่อเข้าชิงดารานำชายยอดเยี่ยมที่ออสการ์ปีที่แล้ว

Julianne Moore ซึ่งบทบาทการแสดงของเธอเชื่อขนมกินได้เลย แสดงเป็นชาร์ลี (ชาร์ล้อต) เพื่อนสนิทและกิ๊กเก่าของจอร์ชที่ประสบปัญหาชีวิตในวัยต่อ (mid-life crisis) เหมือนกัน

Nicholas Hoult เล่นเป็น Kenny นักศึกษาหนุ่มวัยที่มีความสับสนในชีวิต เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนใคร คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เค้าเกิดความชื่นชมจอร์ชอย่างมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นเกย์หรือเปล่า อาจจะแค่ปลื้มๆ อาจารย์ (พวกเราหลายๆ คนก็คงเคยมีประสบการณ์นี้ สมัยเรียนหนังสือ มีอาจารย์ที่เราชื่นชม เป็น role model ทำนองนี้) และรู้สึกว่าจอร์ชคงจะมีคำตอบให้กับในทุกๆเรื่องที่เค้าสงสัย  พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ ตัวเองชอบมาตั้งแต่แสดงเรื่อง About A Boy ตอนนี้เป็นหนุ่มตัวสูงแล้ว หล่อเหลาเอาการ เล่นดีมากๆ เหมือนกัน

Matthew Goode หนุ่มอังกฤษหน้าหวานที่พูดสำเนียงอเมริกันได้อย่างคล่องแคล่วแนบเนียน แสดงเป็นจิม คู่รักของจอร์ชที่อยู่ด้วยกันมาถึง 16 ปี ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิต ซึ่งการจากไปของเค้าเป็นจุดเริ่มเรื่องของหนังเรื่องนี้

เรื่องเริ่มขึ้นแปดเดือนหลังจากที่จิมเสียชีวิตไป จอร์ชก็ยังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากการสูญเสีย เค้ารู้สึกโดดเดี่ยว หวาดกลัว กลัวว่าตัวเองกำลังแก่ตัวลงและกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว เค้าเฝ้าแต่ฝันว่าตัวเองจมน้ำ ดำดิ่งในวังวนที่หาทางออกไม่ได้ และในวันนี้คือวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 1962 (2505) เค้าตั้งใจจะฆ่าตัวตาย หนังทั้งเรื่องจึงเริ่มดำเนินไปผ่านมุมมองของจอร์ชที่เริ่มจะเห็นทุกอย่างแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เมื่อรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องความรักของผู้ชายสองคนแต่เนื้อหาใช้ได้กับคู่รักทุกๆคู่ และคนทุกคนที่ย่อมต้องผ่านมรสุมมาบ้างไม่มากก็น้อย ณ จุดใดจุดหนึ่งของชีวิต



เอาหนังตัวอย่างเวอร์ชั่นที่ฉายในอังกฤษมาให้ดูเปรียบเทียบกันด้วย ตัวเองชอบของอังกฤษมากกว่า


 

คงจะมีคนจำนวนมากที่ไม่อยากดูเรื่องนี้เพราะคิดว่าเป็นความรักของเกย์ แต่จริงๆ แล้วมันใช้ได้กับคู่ทุกๆคู่ จะหญิงชาย ชายชาย หรือหญิงหญิงก็ตาม  มีอีกตอนนึงที่ชอบมากๆ และคิดว่าดาราแสดงได้น่าทึ่งเหลือเกิน รู้สึกว่าเป็นห้วงแห่งการตกหลุมรักของคนสองคนที่โรแมนติกที่สุด ตอนที่ Jim พูดว่า "I think I'm taken" แล้วจ้องไปที่ตาของจอร์ช อุแม่เจ้า สุดยอด



สารคดีเบื้องหลังการทำหนังเรื่องนี้ก็ทำได้ดีมาก Tom Ford พูดดีสุดๆ โดนใจเลยอยากเก็บเอามาฝาก ขอคัดเอาเฉพาะที่ชอบและกินใจ


 

Tom Ford: “The film is a romance.  It’s also about isolation that we all feel.  And I think that most of us spend a good deal of our life trying to connect… try to connect with another person.”

Movie Clip:
George: “You know, the only thing that's made the whole thing worthwhile...has been those few times when I've been able to really... truly connect with another human being.”
Kenny: “I had a hunch about you, Sir.”
George: “You did?”
Kenny: “Yes, Sir.  I had a hunch you might be a real romantic.”

Colin Firth: “This is a man who intends to end his life today.  And so it gives incredible vibrancy and poignancy to that day.  Rather than it being gloomy and tragic because it's all gonna come to an end, the focus is on that vibrancy.”

Tom Ford:  “The main message of the film is really to live in the present...to live every day as though it were your last day.”

Colin Firth:  He has given himself a last look, and a wonderfully intense last look.

Tom Ford: “Sometimes, the most amazing things in life are the small little things... something someone said to you, the smell of someone's neck --little things in life --because the small things in our life are really the big things in our life.  And I think it's very important to remember that.”

Matthew Goode (Jim):  What I loved about it is there were just moments of life. Just like-- just sitting on a sofa, having a chat.

Clip
George and Jim are sitting on the same sofa reading.  The record just ended
George:  It's your turn to change it.
Jim:  Yeah, I'm not changing it.  It's your turn. Besides, you never like what I put on anyway.
George: I'll give you $5 if you change it.  I'm too old to get up.
Jim:  You're only old when it's convenient for you to be old.... What would be better than being tucked here with you?  If I died right now, it would be Okay."
George: Well, it wouldn't be okay with me...
Jim: Good answer.

Matthew:  It's something just very real. And that's what got me.

GEORGE:
Tom:  All three of our principal characters are going through a change of life. George is going from his middle age to his older years and can't see his future.  He can't really figure out what the next phase of his life is going to be.  George decided to kill himself and because of this, he goes through this day in an entirely different way.  (Matthew) When he decides to kill himself, he starts to live for the first time in years.  When George looks at things, he's looking at them as though it's the last time he's going to see them and we understand this feeling of beauty that he feels.

CHARLEY:

Charley's character is going through this mid-life crisis, circa 1962.  A woman who's done everything that our culture tells her she should do.  She's built her life around her beauty, around being the perfect wife, the perfect mother, perfect hostess, yet, she finds herself absolutely alone.  Her husband left her, her child has grown up.  She's still trying to play the game that she had been playing for so long and it doesn't work anymore.  She's no longer a great, young beauty and so her feeling is “Then, what am I?” … She's stuck in a box.

KENNY

Kenny admires George.  He wonders about George.  He's curious about George and thinks that maybe George holds some of the answers for him.  He's drawn to George. He is attracted to George in that sense that he's intriguing, and he's excited by him.  He likes the way he thinks and his view on things, so that is the main attraction.  Kenny is kind of teaching George to enjoy the now and just notice the little things which, kind of, people go through in life and you don't stop and smell the flowers.


Tom Ford:  “Fashion is very fleeting.  Film lasts forever and I think that a film should challenge you.  I think the film should make you think.  And if I can get the audience to leave the theater and think, “Wow, I need to pay more attention to my day, because this is all I get.”, then I think the film will have meant something.”

ขอปิดท้ายภาคนี้ด้วย soundtrack เพลงนี้ที่ชอบมาก - George's Waltz โดย Shigeru Omebayashi ภาคที่สองจะมาเล่าเรื่องภาพและการออกแบบหนัง




ต่อตอนที่สอง: A Single Man 2- หนังดีที่คนรักหนังและคนรักการถ่ายภาพไม่ควรพลาด (ตอนที่ 2)

Saturday, September 11, 2010

The Men Who Stare at Goats (2009)


Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
เป็นหนังฟอร์มไม่ค่อยใหญ่ที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ใกล้ๆ กับหนังเรื่อง Up in the Air ที่ George Clooney แสดง ก็เลยไม่ค่อยดังมาก แต่ดูแล้วหัวเราะดังมากๆๆๆ

ดาราทุกคนแสดงได้ตลกอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น George Clooney, Ewan McGregor (Obi-wan Kenobi จาก Star Wars ภาคสาม Revenge of the Sith), Jeff Bridges (The Fabulous Baker Boys, Crazy Heart), และ Kevin Spacey (The Usual Suspects, Se7en, American Beauty) ที่รับบทดาวร้ายได้อย่างน่าหมั่นไส้ ตามเคย

แม็คเกรเกอร์แสดงเป็น Bob Wilton นักข่าวที่ผ่านมรสุมชีวิตมาหมาดๆ จากการหย่าร้างและต้องการค้นหาตัวเอง เลยประชดชีิวิตหน่อยๆ ด้วยการมุ่งหน้าสู่อิรัก และพบว่าชีวิตตัวเองผกผันไปโดยสิ้นเชิงเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้เค้ามาพบกับ Lyn Skip Cassidy แสดงโดย George Clooney อดีตทหารหน่วยราชการลับของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะไปปฏิบัติภาระกิจลับสุดยอดพอดี

เจฟ บริดเจส แสดงเป็น บิล แจงโก้ นายทหารที่รอดตายจากเวียตนามแล้วเกิดปิ๊งคิดแนวทางการปฏิรูปปฏิบัติการลับ (Special Op) สร้างกองกำลังฝึกทหารให้เป็นอาวุธที่ใช้โทรจิต (psych weapons) หลังจากไปแสวงหาความจริงในโลกใหม่ที่มีดอกไม้ในรูหูที่แคลิฟอร์เนียอยู่หลายปี

เรื่องราวต่างๆ จากจุดนี้ เกิดการโอละพ่ออย่างน่าขำและน่าคิด

สำหรับตัวเองชอบเนื้อเรื่องที่เป็นการเสียดสีอเมริกาและ Military-Industrial Complex (แปลเป็นไทยว่าไงหว่า -- คำนี้เป็นคำที่ประธานาธิบดีไอเซ็นฮาว เคยทำนายไว้หลังสงครามโลกครั้งที่สองว่า อเมริกา ในภายภาคหน้าอาจจะตกอยู่ในสภาพเป็นประเทศที่ตกอยู่ใต้แนวทางที่ดำเนินโดยทหารและผู้นำทางอุตสาหกรรม – ฟังดูคุ้นๆ ไงไม่รู้) แล้วก็เนื้อหาที่เกี่ยวกับการค้นหาจุดยืนของตัวเอง คนทำหนังแฝงแง่คิดไว้ในความตลกได้อย่างแนบเนียน

เป็นหนังที่ดูจากชื่อเรื่องจะงง แต่พอดูแล้วสนุกมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่อยากชวนให้ดู

หนังเรื่องนี้กำกับโดย Grant Heslov
บทภาพยนต์โดย Peter Straughan
มาจากเค้าโครงหนังสือชื่อเดียวกัน The Men Who Stare at Goatsโดย Jon Ronson




Tuesday, September 7, 2010

The Afternoon of a “Fawn”



วันนี้นั่งอ่านหนังสือรวบรวมบทกวีของ Stéphane Mallarmé เจอกลอนบทที่ชื่อว่า “L’Après-Midi d’un Faune” (The Afternoon of a Faun) แล้วคิดว่าเหมาะกับภาพนี้มากๆ

หมายเหตุ: “Faun” คือภูติไม้หูแหลมๆ อยู่ในเทพนิยาย “Fawn”เจ้าลูกกวางน้อยนี่ก็หูแหลมเหมือนกัน

“Ces nymphes, je les veus perpétuer.
Si clair,
Leur incarnat léger, qu’il voltige dans l’air
Assoupi de sommeils touffus.
Aimai-je un rêve?...”

I’d love to make them linger on, those nymphs.
So fair,
Their frail incarnate, that it flutters in the air
Drowsy with tousled slumbers.
Did I love a dream?...

Monday, September 6, 2010

"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" ของ"ซะการีย์ยา อมตยา" คว้าซีไรต์ประจำปี 2553

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283759146&grpid=01&catid=no&ref=nf
เอามาแปะไว้จะได้กลับมาอ่านง่ายๆ

ยังไม่แน่ใจว่า รู้สึกอย่างไรกับ กลอนเปล่า

จะเหมือนดนตรีแร็ป หรือเปล่าน้อ



--------------------------------------------------------

เพียงแต่ยังไม่ได้ทาสี

ซะการีย์ยา อมตยา


บางอย่างบนเส้นทาง
ผมเดินไปเห็น บางสิ่งบนถนน
อะไรสักอย่าง ผมไม่เข้าใจ
ผมไม่เคยพบเห็น
มันดูประหลาดมาก
ผมพลันหวนคิด วันในวัยเยาว์
บางสิ่งที่ดูเหมือนจะเคยเกิด
แต่มันช่างรางเลือน
เหมือนสิ่งที่กำลังจะเกิด
และเคยเกิด
แต่ผมประกันได้เลย
ผมไม่รู้จักไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั่น
อยู่อยู่ความปวดร้าวจู่โจมผม
ท้ายทอยของผมเหมือนมีระฆังพันใบ
ระรัวเสียงที่สวรรค์และนรกไม่เคยรังสรรค์
ผมจะบอกอย่างไรดี ผมอธิบายมันไม่ได้
เสียงก้องทำให้หัวผมแทบระเบิด
เหมือนระดับของเหลวในหูผมไหลทะลัก
ผมรู้สึกหัวของผมโตขึ้นโตขึ้นจนบดบังทัศนวิสัย
และกีดขวางการจราจรในบัดนั้น
อะไรบางอย่างที่เห็นกำลังหยั่งรากบนผิวถนน
ขณะเดียวกันก็เห็นผู้คนต่างจ้องมองมายังผม
สายตาทั้งหลายมีความตื่นตระหนกอย่างเหลือร้าย
ผมเห็นผมในดวงตาเหล่านั้น
มันกำลังหัวร่อสิ่งแปลกปลอม
แล้วลำตัวผมอุบัติด้วยกิ่งใบ
ชูช่อเสียดฟ้าทะมึนที่กำลังตั้งเค้าพายุ
บางคนอุทานว่า ต้นไม้ยักษ์!
ที่นี้ ผมจะทำอย่างไรดี มันช่างละอาย
ร่างกายผมกำลังประจานท่ามกลางการจราจร
ผมหนาว ผมสั่น ผมหนาว ผมสั่น
ผมอยากได้ผ้านวมมาคลุมกาย
พลเมืองผู้ภักดีทะยอยไปเปิดฝากระโปรงรถ
พลันเสียงเลื่อยไฟฟ้านับร้อยแผดคำราม
กลิ่นเบนซินชวนผมคลื่นไส้
ผมอยากหนีไปจากที่ตรงนั้น
แต่รากของผมลึกเกินกว่าจะผละไป
พวกเขาละล้าละลังและหวาดหวั่นที่จะสัมผัสผิวหนังผม
แต่พวกเขาก็ทำ
ผมพยายามกรีดร้องแต่เสียงผมไม่หลุดจากปาก
ผมอยากร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลย้อนซึมเข้าสู่กิ่งก้าน
กระดูกแตกราวผนังกระจกถูกอัดด้วยแรงฟุตบอลของวัยหนุ่ม
เปลือกผมเละยุ่ย อย่างกับโจ๊กมื้อเช้า
สายพานคมเลื่อยชำแรกเข้าที่ข้อเท้าของผม
เลือดสีขาวไหลเป็นทางบนถนนที่จะนำผมกลับบ้าน
ผมนึกถึงวันแรกที่ผมมาเยือนโลก
ต่างกันเพียงดวงตามากมายกำลังปรีดิ์เปรม
ขณะที่ร่างของผมกำลังโงนเงน
ดูพวกเขาช่างหนักแน่นและแน่วแน่
ร่างผมโค่น กระแทกลงกลางถนน!
งานฉลองใหญ่เกิดขึ้นทั่วเมือง
พลุแตกเต็มฟ้ากลางราตรี
ดวงตาพวกเขาช่างอิ่มเอม
ขณะที่เพื่อนผู้มาก่อนผมได้รับอาภรณ์เป็นดวงไฟระยิบ
ร่างของผมถูกลิดกิ่งและใบออก
ลำต้นของผมถูกตัดและซอยเป็นซี่ซี่
พวกเขาบางกลุ่มต่อรองกันว่า จะเอาท่อนแขน หรือท่อนขาดี
อีกบางกลุ่มกระโดดไปบนหลังคารถ พลางชูกำปั้น
กร้าวประกาศว่า มันน่าจะเป็นเมรุอันวิจิตรตระการ
อีกบางกลุ่มแย้งว่า แต่ทั้งหมดนี้ คืออนาคตมหาราชวังสิบหลัง
แด่ราชโอรสผู้ทรงพิสมัยเสด็จประพาสทางไกล
และพึงพระราชหฤทัยในการดื่มฤดูกาล
นับแต่นั้นมาเรื่องราวของผมถูกเล่าขาน
กลายเป็นเทพองค์หนึ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์
เรื่องของผมอยู่ในชามเบรกฟัสต์
ละลายอยู่ในแก้วเอสเพรสโซ
อยู่ในหน้าโซไซตี้บางกอกโพสต์
อยู่ในฝ้ายถุงเท้าปิแอร์การ์แดง
อยู่ในเน็กไทยับยู่ยี่ลายช้างเผือก
อยู่ในเบสต์เซลเลอร์ ผมจะเป็นคนดี
อยู่ในช่อการะเกดฉบับเทียบเชิญ
อยู่ในฟ้าเดียวกันฉบับข้อมูลใหม่
อยู่ในมิชลินสี่ล้อรถประจำตำแหน่ง
อยู่ในพวงมาลัยทำมือของเด็กน้อย
อยู่ในบิลบอร์ดไทยเข้มแข็งข้างทางด่วน
อยู่ในพานพุ่มหน้าทางเข้าสำนักงานใหญ่
อยู่ในกรอบไม้สักทองอันเป็นที่สักการะ!



ซะการีย์ยา อมตยา

จากรวมเล่มบทกวี ‘ไม่มีหญิงสาวในบทกวี’ สำนักพิมพ์หนึ่ง

Sunday, September 5, 2010

ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ นักเขียนเรื่องป่าระดับตำนาน

http://www.oknation.net/blog/kajohnrit/2010/07/07/entry-1
ไปเจอบทความนี้น่าสนใจ ยังไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน แต่ต้องไปหาอ่านแน่ๆ

Stéphane Mallarmé - Toute L’Âme Résumée

Portrait of Stéphane Mallarmé
Portrait of Stéphane Mallarmé by Édouard Manet
Photo source: http://commons.wikimedia.org

เมื่อไม่นานมานี้ ได้ไปดูนิทรรศการภาพ The Birth of Impressionismที่ De Young Museum แล้วประทับใจคำบรรยายภาพเหมือนของ Stéphane Mallarmé ที่ Manet วาดเหลือเกิน นัยว่า Mallarmé ชอบภาพที่ Manet วาดให้มากจนเขียนกลอนบทนี้ขึ้นมา

กลอนของ Mallarmé สละสลวยเพราะพริ้งเหมือนกับดนตรี ส่วนความหมายนั้น ตัวเองบอกไม่ถูกว่าทำำไมอ่านแล้วนึกถึงปรัชญาพุทธศาสนา ถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่คัดมาทำให้นึกถึงคำที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์”

อีกบันทึกเก็บตกที่อยากเอามาฝากค่ะ

 
“Toute l’âme résumée
Quand lente nous l’expiron
Dans plusieurs ronds de fumés
abolis en autre ronds

Atteste quelque cigare
Brûlant savamment pour peu
Que la cendre se sépare
De son clair baiser de feu…”

All the soul that we evoke
When we shed it lingering
Into various rings of smoke

Testifies to some cigar
Burning with much artifice
As the ash falls away far
From its lucid fiery kiss...”


Reference: Stéphane Mallarmé - Collected Poems and Other Verse, by E.H. and A.M. Blackmore, Oxford, 2006, pp. 210-211.

 

Wednesday, September 1, 2010

You Can Shine

This is Thai Pantene T.V.commercial my friend emailed me a while ago.  I was so touched by it. The message is worth repeating...

- "Why am I different from others?"
- "Why do you have to be like others?"

"Music is a visible thing. Close your eyes and you will see."

เพื่อนส่งคลิปโฆษณาแพนทีนนี่มาให้ดูนานแล้ว ประทับใจจังอยากบันทึกไว้ คนไทยเก่งมาก
ทุกคนคงได้ดูกันแล้วมั้งคะ แต่ข้อคิดนี้น่าเก็บไว้เตือนใจเสมอๆ

- จงภูมิใจในทุกสิ่งที่คุณเป็น แม้คุณจะไม่เหมือนคนอื่นก็ตาม
- บทเพลงและสุนทรียมีอยู่ทั่วไป เพียงหลับตาจินตนาการ ก็สามารถสัมผัสได้ (อันนี้ขอประยุกต์นิดนึง)