Explorer of Life

Tuesday, March 3, 2009

Folklore from Northern Thailand - กะตำป๋าค่ำตุ๊

เรื่องนี้คงจะเหมือนกับศรีธนญชัยที่มีตอนต่างๆหลากหลาย  ที่จริงเราลืมไปแล้วพอดีพี่ชายเอ่ยขึ้นมาก็เลยไปหามาแปะไว้ ต้องขอบอกว่าอ่านเป็นภาษากลางนี่มันได้อรรถรสเท่ากับฟังคนพูดเป็นคำเมืองเลย

เรื่องที่จำได้มากที่สุดก็เรื่องนี้ คัดลอกจาก http://web.radompon.com/wanida99/014.html

เรื่องเล่าดอยเต่า

กะต๊ำป๋าค่ำตุ๊

วันหนึ่งพระต้องออกไปนอกวัดจึงเรียกกะตำป๋ามาแล้วสั่งว่า เฝ้าวัดให้ดี อย่าให้อะไรมารกรุงรัง อย่าให้หมาเข้าในห้อง เขาก็ตอบโดยแข็งขันว่าจะจัดการให้เรียบร้อย เมื่อพระออกไปเขาก็ออกไปแล้ว ไปเอางาทำ เข้าหนุกงา คือตำงาคลุกกับข้าวเหนียวแล้วปั้นไปวางไว้ที่หมอนพระ เมื่อพระกลับมาพระก็ถาม ว่าเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่า เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรเข้ามาในวัดเลย แต่พอพระเห็นก้อนข้าวคลุกงาก็เข้า ใจว่าเป็นขี้หมาจึงสั่งลงโทษให้กะต๊ำป๋ากิน"ขี้หมา"นั้น กะต๊ำป๋าก็หยิบ"ขี้หมา"นั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังชวนพระกินด้วยอีกว่า อร่อยจริง ๆ พระก็ลองชิมดู เมื่อเห็นว่าอร่อยดี ก็ถามเขาว่าหมาตัวไหนนะ ที่ขี้อร่อยอย่างนี้ เขาก็บอกว่า "หมาแดงนั่นไง"
พระจึงให้ไปไล่หมานั้นเข้าวิหาร พระจับบานประตูคอยทีอยู่ก็ดันประตูเท้ากระแทกจนอุจจาระหมา ทะลัก แล้วพระจึงรีบเข้าไปกินก่อนที่กะต๊ำป๋าจะแย่ง แต่ปรากฏว่าคราวนี้เป็นขี้หมาจริง ๆ

 

Myth (Northern Thai Folklore) - หมาขนคำ

ไปหาเจอนิทานเรื่องนี้ที่อุ้ย(คุณยาย) เคยเล่าให้ฟังก่อนนอนตอนเด็กๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่ายังมีคนรู้จักอยู่  ตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องของลำพูนเพราะคุณยายเป็นคนจังหวัดนั้น พี่ชายบอกว่าอาจเป็นได้ว่าสมัยก่อนนี้อาณาจักรหริภุญไชยกินขึ้นไปถึงลำปาง ซึ่งก็คงมีส่วน

เรื่องนี้ไปคัดลอกมาจาก คุณแม่ไก่ ที่บล๊อกแก๊ง ขอขอบคุณไว้ที่นี้ค่ะ

นิทานพื้นบ้าน เรื่อง "หมาขนคำ"

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัดลำปางเจ้า....

(กาลครั้งหนึ่ง...นานมาก ๆ) มีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียไว้หนึ่งตัว ในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้าริมดอยวัดม่วงคำ
(เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กสาวน่ารักสองคน แม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่ ลูกสาวฝาแฝดโตเป็นสาว คนพี่ชื่อ นางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง


เมื่อพระยาเจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ขบวนวอทองก็ไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาเจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง

ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผาที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนคำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้

พระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีไป


แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง นางบัวตองรีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษา ให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่าจะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย พระอินทร์ได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง เมื่อพระยาเจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าอีกครั้งหนึ่ง นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่อยู่ของยักษ์ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก ยักษ์จึงหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวัง


ฝ่ายนางเจตะกา เมื่อทราบข่าวว่านางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง นางจึงอาสาพระยาเจ้าเมืองจะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า เมื่อไปถึงผาสามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะกากินเป็นอาหาร แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้จึงเรียกว่าโทกหัวช้างในปัจจุบัน ( อยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง )

จบแล้วเจ้า...นิทานเรื่องนี้สอนหื้อฮู้ว่า...โลภนัก...ลาภมักหาย เจ้า

"Myth" - Stories Behind Things We Know and Words We Speak

Sparked by my friend's comments on my blog, I decided to start this new blog to capture stories I know, and love and to encourage you to also share yours.  I have grown an ardent love for tales since my grandmother started telling me bed time stories.  Her favorite was "The Golden-Haired Dog" (หมาขนคำ), an old myth from Northern Thailand.  (But that's a whole separate blog all together).  I love stories behind things, or places, or phrases; stories about fairies, and magic creatures. Stories keep us young at heart and guard us against losing our imagination as all adults do.  To see whether you have grown up?

Do you see this picture as a hat?
Un serpent boa qui avalait un fauve, Antoine de Saint-Exupéry; Le Petit Prince
Or a serpent that just ate an elephant?Un serpent boa qui avalait un fauve, Antoine de Saint-Exupéry; Le Petit Prince

As the Little Prince explained:

Les grandes personnes ne comprennent jamais rien toutes seules, et c'est fatigant, pour les enfants, de toujours et toujours leur donner des explications.
"Le Petit Prince, Antoine de Saint-Exupéry, (1943)

Grown-ups never understand anything by themselves, and it is tiresome for children to have to explain things to them always and forever.

 

Note: Seen atop - Echo and Narcissus by John William Porterhouse

Monday, March 2, 2009

Daffodils

สมัยเรียนหนังสือ ต้องท่องอาขยานภาษาอังกฤษด้วย และที่จำได้ติดใจที่สุดคือบทชื่อ Daffodils ของ William Wordsworth นี่แหละ คงจะเป็นเพราะบทกลอนไพเราะคล้องจองดี ถ้าจะเปรียบก็คงจะเหมือนกับกลอนแปดของสุนทรภู่นั่นละกระมัง  ส่วนความหมายก็ไม่ได้รู้สึกซึมซาบลึกซึ้งอะไรเพราะบ้านเราไม่มีดอกไม้ชนิดนี้ เหมือนกับตอนเรียนดรุณศึกษาตอนเด็กๆ แล้วอ่านเรื่องกระเช้าสีดานั่นแหละ ความที่เป็นเด็กภาคเหนือ ไม่เคยเห็นกระเช้าสีดา ไม่รู้จัก พอมาเห็นตอนโต เลยกริ๊ดกร๊าดไป  ที่ยกมาพูดนี่ก็เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ผ่านหูผ่านตา ได้อ่านได้ฟัง ได้เรียน แต่ไม่ได้เห็นของจริง ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้มีส่วนร่วมแล้วละก็ ความรับรู้ทุกอย่าง ที่จะให้ซึมเข้าสู่สมองส่วนหน้า หรือหยั่งรากลึกในใจ นั้นก็ยากยิ่ง

ดอกแดฟโฟดิลส์นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นดอกไม้สีเหลืองสดใส บอบบางน่าถนอม ถ้าดมใกล้ๆจะมีกลิ่นหอมจางๆ มากๆ  ตอนที่เรามาอยู่ซีกโลกนี้ใหม่ๆ  เวลาเห็นเราก็ เออ ดอกแดฟโฟดิลส์ ก็เท่านั้น ก็สวย ทีนี้พออยู่ไปอยู่ไปเริ่มสังเกตว่า ดอกนี้น่ะเป็นดอกชนิดแรกๆที่บานปลายฤดูหนาว ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ  กอปรกับการที่สีของเธอเฉิดฉายเหลืองแปร๊ด ทำให้คนส่วนมากที่ผจญกับความหนาว จับเจ่าอยู่แต่ในบ้านตลอดสามสี่เดือนที่ผ่านมา เช่นเรา เกิดความสดชื่นอย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะเมื่อ อยู่มาวันหนึ่ง ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นดอกเหลืองสะพรั่งแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์ใจริงๆ  เราก็เลยคิดถึงกลอนบทนี้ขึ้นมาได้ และเป็นครั้งแรกที่ซึมซาบกับความรู้สึกของผู้แต่งว่า คงจะรู้สึกอย่างเราตอนนี้แล 

          "Daffodils" (1804)
I wander'd lonely as a cloud
That floats on high o'er vales and hills,
When all at once I saw a crowd,
A host, of golden daffodils;

Beside the lake, beneath the trees,
Fluttering and dancing in the breeze.
Continuous as the stars that shine
And twinkle on the Milky Way;


They stretch'd in never-ending line
Along the margin of a bay:
Ten thousand saw I at a glance,
Tossing their heads in sprightly dance.


The waves beside them danced; but they
Out-did the sparkling waves in glee:
A poet could not but be gay,
In such a jocund company:


I gazed -- and gazed -- but little thought
What wealth the show to me had brought:
For oft, when on my couch I lie
In vacant or in pensive mood,


They flash upon that inward eye
Which is the bliss of solitude;
And then my heart with pleasure fills,
And dances with the daffodils.

By William Wordsworth (1770-1850)

Sunday, March 1, 2009

Vintage Film Effect Techniques

http://mycolor.multiply.com/photos/album/38/38#8
ขอบคุณคุณมาย ที่แนะนำค่ะ

Great Collection of Articles on Photography (in Thai) บทความดี ๆ เกี่ยวกับการถ่ายรูป จากคุณมะยม

http://mayom.multiply.com/journal/item/31/31?&item_id=31&view:replies=threaded&page_start=50
แหล่งรวบรวมบทความดีๆ ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณมะยม ผู้ช่วยให้ความรู้ดีๆกับเราอยู่เสมอ
This is a great collection of articles on photography (mostly in Thai), also courtesy of Khun Mayom. The amount of information he is kind to share is staggering and amazing - A treasure trove, one-stop shopping, and online library for me or those who want to improve their photography skills. A Must-See as always. Many thanks to Khun Mayom.

ภาพสวย ในทัศนะคติของผม -โดยคุณธเนศ THANES PHOTOGRAPHY - Great Photographs in My Opinion

http://tthanes.multiply.com/journal/item/2/2?&replies_read=152&item_id=2&view:replies=threaded&page_start=150
บทความนี้ให้ข้อควรจำที่ดีมาก ในการพัฒนาฝีมือการถ่ายภาพ และการได้ความสุขจากการถ่ายภาพ ต้องอ่าน
This is a great blog on photography (in Thai) courtesy of Khun Thanes.
The tips suggested in this blog are easy to achieve and they are worth remembering at all times when you go out there and take photos or journey through life for that matter!!! Thank you Khun Thanes.