Explorer of Life

Saturday, September 11, 2010

The Men Who Stare at Goats (2009)


Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
เป็นหนังฟอร์มไม่ค่อยใหญ่ที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ใกล้ๆ กับหนังเรื่อง Up in the Air ที่ George Clooney แสดง ก็เลยไม่ค่อยดังมาก แต่ดูแล้วหัวเราะดังมากๆๆๆ

ดาราทุกคนแสดงได้ตลกอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น George Clooney, Ewan McGregor (Obi-wan Kenobi จาก Star Wars ภาคสาม Revenge of the Sith), Jeff Bridges (The Fabulous Baker Boys, Crazy Heart), และ Kevin Spacey (The Usual Suspects, Se7en, American Beauty) ที่รับบทดาวร้ายได้อย่างน่าหมั่นไส้ ตามเคย

แม็คเกรเกอร์แสดงเป็น Bob Wilton นักข่าวที่ผ่านมรสุมชีวิตมาหมาดๆ จากการหย่าร้างและต้องการค้นหาตัวเอง เลยประชดชีิวิตหน่อยๆ ด้วยการมุ่งหน้าสู่อิรัก และพบว่าชีวิตตัวเองผกผันไปโดยสิ้นเชิงเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้เค้ามาพบกับ Lyn Skip Cassidy แสดงโดย George Clooney อดีตทหารหน่วยราชการลับของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะไปปฏิบัติภาระกิจลับสุดยอดพอดี

เจฟ บริดเจส แสดงเป็น บิล แจงโก้ นายทหารที่รอดตายจากเวียตนามแล้วเกิดปิ๊งคิดแนวทางการปฏิรูปปฏิบัติการลับ (Special Op) สร้างกองกำลังฝึกทหารให้เป็นอาวุธที่ใช้โทรจิต (psych weapons) หลังจากไปแสวงหาความจริงในโลกใหม่ที่มีดอกไม้ในรูหูที่แคลิฟอร์เนียอยู่หลายปี

เรื่องราวต่างๆ จากจุดนี้ เกิดการโอละพ่ออย่างน่าขำและน่าคิด

สำหรับตัวเองชอบเนื้อเรื่องที่เป็นการเสียดสีอเมริกาและ Military-Industrial Complex (แปลเป็นไทยว่าไงหว่า -- คำนี้เป็นคำที่ประธานาธิบดีไอเซ็นฮาว เคยทำนายไว้หลังสงครามโลกครั้งที่สองว่า อเมริกา ในภายภาคหน้าอาจจะตกอยู่ในสภาพเป็นประเทศที่ตกอยู่ใต้แนวทางที่ดำเนินโดยทหารและผู้นำทางอุตสาหกรรม – ฟังดูคุ้นๆ ไงไม่รู้) แล้วก็เนื้อหาที่เกี่ยวกับการค้นหาจุดยืนของตัวเอง คนทำหนังแฝงแง่คิดไว้ในความตลกได้อย่างแนบเนียน

เป็นหนังที่ดูจากชื่อเรื่องจะงง แต่พอดูแล้วสนุกมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่อยากชวนให้ดู

หนังเรื่องนี้กำกับโดย Grant Heslov
บทภาพยนต์โดย Peter Straughan
มาจากเค้าโครงหนังสือชื่อเดียวกัน The Men Who Stare at Goatsโดย Jon Ronson




Tuesday, September 7, 2010

The Afternoon of a “Fawn”



วันนี้นั่งอ่านหนังสือรวบรวมบทกวีของ Stéphane Mallarmé เจอกลอนบทที่ชื่อว่า “L’Après-Midi d’un Faune” (The Afternoon of a Faun) แล้วคิดว่าเหมาะกับภาพนี้มากๆ

หมายเหตุ: “Faun” คือภูติไม้หูแหลมๆ อยู่ในเทพนิยาย “Fawn”เจ้าลูกกวางน้อยนี่ก็หูแหลมเหมือนกัน

“Ces nymphes, je les veus perpétuer.
Si clair,
Leur incarnat léger, qu’il voltige dans l’air
Assoupi de sommeils touffus.
Aimai-je un rêve?...”

I’d love to make them linger on, those nymphs.
So fair,
Their frail incarnate, that it flutters in the air
Drowsy with tousled slumbers.
Did I love a dream?...

Monday, September 6, 2010

"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" ของ"ซะการีย์ยา อมตยา" คว้าซีไรต์ประจำปี 2553

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283759146&grpid=01&catid=no&ref=nf
เอามาแปะไว้จะได้กลับมาอ่านง่ายๆ

ยังไม่แน่ใจว่า รู้สึกอย่างไรกับ กลอนเปล่า

จะเหมือนดนตรีแร็ป หรือเปล่าน้อ



--------------------------------------------------------

เพียงแต่ยังไม่ได้ทาสี

ซะการีย์ยา อมตยา


บางอย่างบนเส้นทาง
ผมเดินไปเห็น บางสิ่งบนถนน
อะไรสักอย่าง ผมไม่เข้าใจ
ผมไม่เคยพบเห็น
มันดูประหลาดมาก
ผมพลันหวนคิด วันในวัยเยาว์
บางสิ่งที่ดูเหมือนจะเคยเกิด
แต่มันช่างรางเลือน
เหมือนสิ่งที่กำลังจะเกิด
และเคยเกิด
แต่ผมประกันได้เลย
ผมไม่รู้จักไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั่น
อยู่อยู่ความปวดร้าวจู่โจมผม
ท้ายทอยของผมเหมือนมีระฆังพันใบ
ระรัวเสียงที่สวรรค์และนรกไม่เคยรังสรรค์
ผมจะบอกอย่างไรดี ผมอธิบายมันไม่ได้
เสียงก้องทำให้หัวผมแทบระเบิด
เหมือนระดับของเหลวในหูผมไหลทะลัก
ผมรู้สึกหัวของผมโตขึ้นโตขึ้นจนบดบังทัศนวิสัย
และกีดขวางการจราจรในบัดนั้น
อะไรบางอย่างที่เห็นกำลังหยั่งรากบนผิวถนน
ขณะเดียวกันก็เห็นผู้คนต่างจ้องมองมายังผม
สายตาทั้งหลายมีความตื่นตระหนกอย่างเหลือร้าย
ผมเห็นผมในดวงตาเหล่านั้น
มันกำลังหัวร่อสิ่งแปลกปลอม
แล้วลำตัวผมอุบัติด้วยกิ่งใบ
ชูช่อเสียดฟ้าทะมึนที่กำลังตั้งเค้าพายุ
บางคนอุทานว่า ต้นไม้ยักษ์!
ที่นี้ ผมจะทำอย่างไรดี มันช่างละอาย
ร่างกายผมกำลังประจานท่ามกลางการจราจร
ผมหนาว ผมสั่น ผมหนาว ผมสั่น
ผมอยากได้ผ้านวมมาคลุมกาย
พลเมืองผู้ภักดีทะยอยไปเปิดฝากระโปรงรถ
พลันเสียงเลื่อยไฟฟ้านับร้อยแผดคำราม
กลิ่นเบนซินชวนผมคลื่นไส้
ผมอยากหนีไปจากที่ตรงนั้น
แต่รากของผมลึกเกินกว่าจะผละไป
พวกเขาละล้าละลังและหวาดหวั่นที่จะสัมผัสผิวหนังผม
แต่พวกเขาก็ทำ
ผมพยายามกรีดร้องแต่เสียงผมไม่หลุดจากปาก
ผมอยากร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลย้อนซึมเข้าสู่กิ่งก้าน
กระดูกแตกราวผนังกระจกถูกอัดด้วยแรงฟุตบอลของวัยหนุ่ม
เปลือกผมเละยุ่ย อย่างกับโจ๊กมื้อเช้า
สายพานคมเลื่อยชำแรกเข้าที่ข้อเท้าของผม
เลือดสีขาวไหลเป็นทางบนถนนที่จะนำผมกลับบ้าน
ผมนึกถึงวันแรกที่ผมมาเยือนโลก
ต่างกันเพียงดวงตามากมายกำลังปรีดิ์เปรม
ขณะที่ร่างของผมกำลังโงนเงน
ดูพวกเขาช่างหนักแน่นและแน่วแน่
ร่างผมโค่น กระแทกลงกลางถนน!
งานฉลองใหญ่เกิดขึ้นทั่วเมือง
พลุแตกเต็มฟ้ากลางราตรี
ดวงตาพวกเขาช่างอิ่มเอม
ขณะที่เพื่อนผู้มาก่อนผมได้รับอาภรณ์เป็นดวงไฟระยิบ
ร่างของผมถูกลิดกิ่งและใบออก
ลำต้นของผมถูกตัดและซอยเป็นซี่ซี่
พวกเขาบางกลุ่มต่อรองกันว่า จะเอาท่อนแขน หรือท่อนขาดี
อีกบางกลุ่มกระโดดไปบนหลังคารถ พลางชูกำปั้น
กร้าวประกาศว่า มันน่าจะเป็นเมรุอันวิจิตรตระการ
อีกบางกลุ่มแย้งว่า แต่ทั้งหมดนี้ คืออนาคตมหาราชวังสิบหลัง
แด่ราชโอรสผู้ทรงพิสมัยเสด็จประพาสทางไกล
และพึงพระราชหฤทัยในการดื่มฤดูกาล
นับแต่นั้นมาเรื่องราวของผมถูกเล่าขาน
กลายเป็นเทพองค์หนึ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์
เรื่องของผมอยู่ในชามเบรกฟัสต์
ละลายอยู่ในแก้วเอสเพรสโซ
อยู่ในหน้าโซไซตี้บางกอกโพสต์
อยู่ในฝ้ายถุงเท้าปิแอร์การ์แดง
อยู่ในเน็กไทยับยู่ยี่ลายช้างเผือก
อยู่ในเบสต์เซลเลอร์ ผมจะเป็นคนดี
อยู่ในช่อการะเกดฉบับเทียบเชิญ
อยู่ในฟ้าเดียวกันฉบับข้อมูลใหม่
อยู่ในมิชลินสี่ล้อรถประจำตำแหน่ง
อยู่ในพวงมาลัยทำมือของเด็กน้อย
อยู่ในบิลบอร์ดไทยเข้มแข็งข้างทางด่วน
อยู่ในพานพุ่มหน้าทางเข้าสำนักงานใหญ่
อยู่ในกรอบไม้สักทองอันเป็นที่สักการะ!



ซะการีย์ยา อมตยา

จากรวมเล่มบทกวี ‘ไม่มีหญิงสาวในบทกวี’ สำนักพิมพ์หนึ่ง

Sunday, September 5, 2010

ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ นักเขียนเรื่องป่าระดับตำนาน

http://www.oknation.net/blog/kajohnrit/2010/07/07/entry-1
ไปเจอบทความนี้น่าสนใจ ยังไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน แต่ต้องไปหาอ่านแน่ๆ

Stéphane Mallarmé - Toute L’Âme Résumée

Portrait of Stéphane Mallarmé
Portrait of Stéphane Mallarmé by Édouard Manet
Photo source: http://commons.wikimedia.org

เมื่อไม่นานมานี้ ได้ไปดูนิทรรศการภาพ The Birth of Impressionismที่ De Young Museum แล้วประทับใจคำบรรยายภาพเหมือนของ Stéphane Mallarmé ที่ Manet วาดเหลือเกิน นัยว่า Mallarmé ชอบภาพที่ Manet วาดให้มากจนเขียนกลอนบทนี้ขึ้นมา

กลอนของ Mallarmé สละสลวยเพราะพริ้งเหมือนกับดนตรี ส่วนความหมายนั้น ตัวเองบอกไม่ถูกว่าทำำไมอ่านแล้วนึกถึงปรัชญาพุทธศาสนา ถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่คัดมาทำให้นึกถึงคำที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์”

อีกบันทึกเก็บตกที่อยากเอามาฝากค่ะ

 
“Toute l’âme résumée
Quand lente nous l’expiron
Dans plusieurs ronds de fumés
abolis en autre ronds

Atteste quelque cigare
Brûlant savamment pour peu
Que la cendre se sépare
De son clair baiser de feu…”

All the soul that we evoke
When we shed it lingering
Into various rings of smoke

Testifies to some cigar
Burning with much artifice
As the ash falls away far
From its lucid fiery kiss...”


Reference: Stéphane Mallarmé - Collected Poems and Other Verse, by E.H. and A.M. Blackmore, Oxford, 2006, pp. 210-211.

 

Wednesday, September 1, 2010

You Can Shine

This is Thai Pantene T.V.commercial my friend emailed me a while ago.  I was so touched by it. The message is worth repeating...

- "Why am I different from others?"
- "Why do you have to be like others?"

"Music is a visible thing. Close your eyes and you will see."

เพื่อนส่งคลิปโฆษณาแพนทีนนี่มาให้ดูนานแล้ว ประทับใจจังอยากบันทึกไว้ คนไทยเก่งมาก
ทุกคนคงได้ดูกันแล้วมั้งคะ แต่ข้อคิดนี้น่าเก็บไว้เตือนใจเสมอๆ

- จงภูมิใจในทุกสิ่งที่คุณเป็น แม้คุณจะไม่เหมือนคนอื่นก็ตาม
- บทเพลงและสุนทรียมีอยู่ทั่วไป เพียงหลับตาจินตนาการ ก็สามารถสัมผัสได้ (อันนี้ขอประยุกต์นิดนึง)



 

Sunday, August 15, 2010

Itinerary August 1-14, 2010


















Here's our itinerary:
  • San Francisco Bay Area
  • Ashland, Oregon
  • Crater Lake NP, Oregon
  • Sunriver, Oregon
  • Boise, Idaho
  • Yellowstone National Park, Wyoming, Idaho, Montana
  • Grand Teton National Park, Wyoming
  • Beaver, Utah
  • Bryce Canyon National Park, Utah
  • Zion National Park, Utah
  • Mojave, California
  • San Francisco Bay Area